1.การทำสัญญาควรทำให้ละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ควรใช้เพียงแค่คำพูดในการสั่งงาน เพราะถ้าหากทำมาผิดจากที่ตกลงกันก็จะมีหลักฐานไว้สำหรับยืนยันกับผู้รับเหมาได้
2.ควรทำบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ B.O.Q. (Bill of Quantities) ปริมาณ ราคา แบรนด์สินค้าที่จะสั่งเข้ามาให้ชัดเจนถูกต้องตามแบบที่ต้องการ
3.การจ่ายเงินให้แก้ผู้รับเหมาควรแบ่งจ่ายออกเป็นหลายๆงวดเพื่อไม่ให้เงินที่จ่ายในแต่ละครั้งเยอะจนเกินไป และยังเป็นแรงจูงใจให้ผู้รับเหมารีบทำงานให้เสร็จด้วย
4.หลีกเลี่ยงปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงาน การจ่ายเงินมัดจำอาจจะจ่ายเพียง 10% ก่อนเพื่อดูความเชี่ยวชาญ ความถนัดของผู้รับเหมาก่อน
5.ถ้าผู้รับเหมาขอเบิกเงินค่างวดล่วงหน้าหรือมีข้ออ้างว่าเงินไม่พอจะซื้อวัสดุทำให้ก่อสร้างต่อไม่ได้ ผู้ที่เป็นผู้ว่าจ้างไม่ควรใส่ใจและไม่ควรใจอ่อน เพราะตอนที่ผู้รับเหมาประเมินงานและผู้รับเหมาต้องมีเงินพร้อมสำหรับการก่อสร้างอยู่แล้ว
6.ถ้าผู้รับเหมาไม่มีเงินแล้วอ้างเหตุผลต่างๆมากมาย ก็ควรจะเลิกจ้างเพราะอย่างไรก็ตามเราก็จ่ายเงินเป็นงวดๆ มีเงินเหลือเพียงพอสำหรับจ้างผู้รับเหมาชุดใหม่เข้ามาอยู่แล้ว
7.ในสัญญาควรมีแผนการจ่ายเงินที่ชัดเจนว่างานผ่านไปกี่เปอร์เซ็นต์จะจ่ายอย่างไรเพื่อไม่ให้ถกเถียงกันตอนหลัง และควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรให้รับทราบทั้งสองฝ่ายด้วย
8.ผู้ว่าจ้างควรจะเข้าไปตรวจดูงานที่ผู้รับเหมาทำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ผู้รับเหมาทำงานออกนอกลู่นอกทางและยังเป็นวิธีการป้องกันการโกงวัสดุก่อสร้างผิดจากที่ตกลงกันไว้ การเข้าไปดูงานควรเข้าไปแบบสุ่มเวลาไม่ควรไปเวลาเดิมทุกครั้ง และยังทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
9.ควรคัดเลือกผู้รับเหมาที่มีผลงานชัดเจนเป็นสิ่งปลูกสร้างให้เห็น ไม่ใช่เพียงแค่ตัวกระดาษแผ่นเดียวแล้วบอกว่าเคยผ่านโครงการเหล่านี้มาเพราะอาจจะถูกหลอกลวงจากแก๊งต้มตุ๋นได้
10.ถ้าเป็นไปได้ควรจ้างผู้รับเหมาเฉพาะค่าแรง ส่วนวัสดุเราไปหาซื้อเองเพื่อป้องกันปัญหาการโกงวัสดุ ถ้าหากเป็นโครงการขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญ วิศวะกร ที่ปรึกษา มาช่วยในการคุมงานเพราะจะเข้าใจในเรื่องการก่อสร้างมากกว่า
ที่มา : www.TerraBKK.com